ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ
“ทุ่งมะขามหย่อง” จารึกวีรกษัตรีย์ศรีสุริโยทัย
ขึ้นชื่อว่า “คน” นั้นย่อมมีสิ่งที่รักไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เทิดทูลโดยเฉพาะคนไทยหากถามในใจย่อมเป็นที่รู้ว่าคือสิ่งใด... 25 พฤษภาคม 2555 ณ. ทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่พสกนิกรชาวพระนครศรีอยุธยาและประชาชนคนไทยทั้งประเทศปลาบปลื้มปีติที่เห็นในหลวงของพวกเรา พร้อมด้วยพระราชินีและสมเด็จพระเทพฯ เสด็จพระราชดำเนินอย่างไม่เป็นทางการมาที่ทุ่งมะขามหย่อง เพื่อสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระศรีสุริโยทัยและตรวจความคืบหน้าการป้องกันปัญหาอุทกภัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดเพื่อให้ประชาชนชาวกรุงเก่าและพสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมพระบารมี องค์ ธ เหนือเกล้าผองไทยให้เป็นมิ่งขวัญกำลังใจสืบไป
สำหรับพื้นที่บริเวณ “ทุ่งมะขามหย่อง” นั้น ถือว่าเป็นพื้นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์พระศรีสุริโยทัย ผู้เป็นพระอัยกีแห่งมหาราชของไทย นามสมเด็จพระนเรศวร ผู้ทรงประกาศชัยชนะกู้แผ่นดิน อโยธยาเหนือชาวพม่ารามัญศัตรูผู้เป็นเสมือนหอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงย่ำยีชาวสยามเรื่อยมา ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลภูเขาทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อครั้งอดีต “ทุ่งมะขามหย่อง” แห่งนี้ เป็นบริเวณสมรภูมิที่เหล่าวีรกษัตริย์ บรรพชนผู้กล้า ยืนหยัดต่อสู้เอาเลือดเนื้อทาทาบแผ่นดินหวังเพียงหนึ่งเดียวให้อาณาจักรของสยามประเทศเป็นปึกแผ่นให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยจนชั่วลูกชั่วหลาน และศึกที่สำคัญที่จารึกและมีอนุสรณ์จนถึงบัดนี้ คือ เมื่อครั้งที่กองทัพไทยปะทะกับทัพพม่าในศึกที่พระศรีสุริโยทัยสิ้นพระชนม์บนคอช้าง
ครั้นทรงทราบว่า กองทัพกรุงศรีอยุธยาเคลื่อนกระบวนออกจากกำแพงพระนครแล้วก็ทรงโปรดให้แบ่งกำลังออกเป็นสามทัพ โปรดให้บุเรงนองผู้เป็นพี่เขยเป็นผู้ควบคุมทัพม้าเป็นกองล่อ พระเจ้าแปรเป็นผู้คุมทัพหน้าเผชิญข้าศึกยามติดตามทัพล่อของบุเรงนอง การเผชิญศึกตามแผนการยุทธที่ได้วางไว้ตามคำทูลแนะนำของขุนศึกบุเรงนอง ส่วนพระองค์ทรงควบคุมทัพหลวงเป็นกองหนุน
ส่วนฝากกรุงอโยธยามีสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงเป็นจอมทัพหวังให้ไพร่พลมีขวัญกำลังใจและปกป้องขอบเขตขัณฑสีมาให้พ้นมือไพรี การนี้สมเด็จพระศรีสุริโยทัยเอกอัครมเหสีทรงห่วงเกรงพระราช-สวามีจะมีภัย หากเป็นเช่นนั้นอโยธยาคงมิพ้นพินาศจึงขอตามเสด็จไปในการศึกครั้งนี้ด้วย สมเด็จพระมหา-จักรพรรดิ์ได้ทรงท้วงติง สมเด็จพระศรีสุริโยทัยเป็นหลายครั้งหลายหนว่าการโดยเสด็จออกสู่สนามยุทธนั้น มากไปด้วยภยันตรายร้ายแรงรอบด้าน แต่พระศรีสุริโยทัยเอกอัครมเหสีแกล่นแกล้ว และจงรักภักดีต่อพระราชสวามียิ่งสิ่งใด ยังคงทูลยืนกรานในอันที่จะโดยเสด็จออกสู่สนามยุทธอยู่อย่างเด็ดเดี่ยว และทรงเครื่องพิชัยยุทธเยี่ยงบุรุษชาติอาชาไนยพร้อมแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงมิอาจทรงทัดทานประการใดได้
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงไสช้างพระที่นั่งเข้ากระทำการยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปรเยี่ยงวีกษัตริย์ชาตินักรบ ช้างพระที่นั่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์เสียเชิงช้างพระเจ้าแปร ถึงแก่เบนช้างให้ สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงเห็นพระราชสวามีใกล้อันตรายต่อคมพระแสงของ้าวของพระเจ้าแปร ก็ทรงไสช้างพระที่นั่งเข้าขวางพระเจ้าแปรไว้ ประจวบกับพระเจ้าแปรทรงฟาดพระแสงของ้าวมายามได้เชิง สมเด็จพระศรีสุริโยทัยถูกพระเจ้าแปรฟันด้วยพระแสงของ้าว ต้องพระอังสาตรงพระอุระเบื้องพระยุคลถันถึงขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนม์บนคอช้างท่ามกลางข้าศึก พระราเมศวรกับพระมหินทร์ราชโอรสต่างขับช้างเข้ากันพระศพสมเด็จพระราชชนนีไว้ การศึกไม่มีแพ้ชนะแก่กันจึงต่างถอยทัพในวันนั้น นี่จึงเห็นได้ว่าแม้องค์สุริโยทัยจะเป็นหญิงที่อยู่ในราชสำนักชั้นสูงรั้งตำแหน่งอัครมเหสีแห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา แต่พระองค์หาได้ทรงหวาดกลัวข้าศึกไม่ เลือดแห่งขัตติยะนารีเปี่ยมล้น ทรงแลกพระชนชีพเสี่ยงพระวรกายต่อคมอาวุธยอมแลกเพื่อองค์ราชันย์ผู้เป็นขวัญกำลังใจของประชาราษฎร์ให้อยู่สืบไป ศึกครั้งนี้ทำให้กษัตริย์รามัญพม่าตระหนักว่าคนไทยนั้นรักชาติยิ่งชีพต่อสู้โดยไม่เสียดายชีวิต แม้จะเป็นเพศหญิงที่อ่อนแอกว่า จึงยอมล่าถอยทัพกลับหงสาวดี แต่ทั้งนี้ทำให้คนไทยเสียปิ่นอนงค์แห่งกรุงศรีอยุธยาอย่างไม่มีวันกลับ สร้างความโทมนัสต่อปวงไทยทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ส่วนบริเวณที่สู้รบก็คือบริเวณทุ่งมะขามหย่องนั้นเอง และด้วยเหตุที่ “ทุ่งมะขามหย่อง” จึงเป็นสมรภูมิที่จารึกความกล้าหาญของวีรกษัตรีย์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง
ส่วนบริเวณทุ่งมะขามหย่องทางรัฐบาลได้จัดทำโครงการสร้าง “พระราชานุสาวรีย์สมเด็จ- พระสุริโยทัย” เป็นโครงการจัดสร้างขึ้นตามพระราชดำริ รัฐบาลและพสกนิกรชาวไทยได้ร่วมกันสร้าง น้อมเกล้า ฯ ถวายเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวาระมหามงคลเฉลิม- พระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อปีพ.ศ. 2535โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2534
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัยสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระสุริโยทัย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2538
อาจกล่าวได้ว่าทุ่งมะขามหย่องเมื่อครั้งกาลอดีตนั้นเป็นที่รองรับน้ำเลือด น้ำเหงื่อ และน้ำใจอันรักชาติของบรรพชนผู้กล้าที่ยอมพลีชีวิตเพื่อปกบ้านป้องเมือง ยอมพลีร่างกายเพื่อทับถมให้แผ่นดินสูงขึ้นหวังให้ลูกหลานได้ยืดกายอยู่อาศัย สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันทุ่งมะขามหย่องแห่งนี้ก็ยังเป็นที่รองรับน้ำเหนือที่ไหลบ่าท่วมให้ชนทนทุกข์ แต่ยิ่งกว่านั้นเป็นที่รองรับกักเก็บน้ำพระราชหฤทัยที่คอยหล่อเลี้ยงให้ชนชาวไทยมีความสุข นับได้ว่าทุ่งมะขามหย่องมิเคยสิ้นคุณ คอยตอบแทนประชาชนเรื่อยมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอาจสืบจนถึงกาลเบื้องหน้า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
“ทุ่งภูเขาทอง” ร่องรอยแห่งบรรพชน
ทุ่งภูเขาทอง ผืนแผ่นดินที่สำคัญในประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ยามว่างศึกก็เป็นที่ปลูกข้าวหล่อเลี้ยงชีวิตชาวอโยธยา ยามศึกก็เป็นผืนดินที่เหล่าบรรพชนตั้งมั่นรับข้าศึกมิให้กร่ำกรายขอบขัณฑสีมา ซึ่งเป็นที่ต่อสู้ระหว่างไทยและพม่ารามัญมาหลายครั้งหลายครา เจดีย์ภูเขาทอง เป็นมหาเจดีย์สำคัญตั้งอยู่นอกเกาะกรุงศรีอยุธยา ด้านตะวันตกเฉียงเหนือไปประมาณ 2 กิโลเมตร ทุ่งภูเขาทอง ตั้งอยู่บริเวณตำบลภูเขาทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทุ่งภูเขาทองเป็นแหล่งโบราณคดีและแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาอยุธยา สภาพปัจจุบันเป็นทุ่งนาและเลี้ยงสัตว์ "ทุ่งภูเขาทอง" คือพื้นที่นอกกำแพงเมืองพระนครศรีอยุธยาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือวัดภูเขาทองซึ่งมีเจดีย์ประธานขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางพื้นที่คงจะเป็นที่มาของชื่อทุ่งแห่งนี้
เจดีย์ภูเขาทองนี้ปรากฏตามประวัติศาสตร์จากการสันนิษฐานว่า เจดีย์ภูเขาทอง ได้สร้างขึ้นใน รัชสมัยสมเด็จพระราเมศวรและกาลสืบมา เมื่อปีพุทธศักราช 2112 พระเจ้าชนะสิบทิศหงสาวดีบุเรงนอง ยกพยุหโยธาทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาได้ในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช โดยยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตาก รวมทั้งหมด 7 ทัพ ประกอบด้วย พระมหาอุปราชา เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู เจ้าเมืองอังวะ เจ้าเมืองเชียงใหม่ และเชียงตุง เข้ามาทางเมืองกำแพงเพชร โดยได้เกณฑ์หัวเมืองทางเหนือรวมทั้งเมืองพิษณุโลกมาร่วมสงครามด้วย รวมจำนวนได้กว่า 500,000 หวังขยี้ราชธานีสยามให้พินาศย่อยยับตามวิสัยคนพาล ทัพพระเจ้าบุเรงนองก็ตั้งค่ายรายล้อมพระนครอยู่ไม่ห่างพระนครมากนัก การตั้งรับภายในพระนครส่งผลให้มีการระดมยิงปืนใหญ่ของข้าศึกทำลายอาคารบ้านเรือนอยู่ตลอด ทำให้ได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัส
ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาเมื่อทราบว่าหัวเมืองทางเหนือตกเป็นของพม่าแล้ว จึงเตรียมรบตั้งรับอยู่ที่พระนคร นำปืนใหญ่ทรงพลังนามนารายณ์สังหารยิงไปยังกองทัพพระเจ้าหงสาวดีที่ตั้งอยู่บริเวณทุ่งลุมพลี ถูกทหาร ช้าง ม้าล้มตายจำนวนมาก พม่าจึงถอยทัพมาตั้งที่บ้านพราหมณ์ให้พ้นทางปืน แล้วพระเจ้าหงสาวดีจึงเรียกประชุมการศึก พระมหาอุปราชนันทบุเรงเห็นสมควรให้ยกทัพเข้าตีไทยทุกด้านเพราะมีกำลังมากกว่า แต่พระเจ้าหงสาวดีไม่เห็นด้วย เพราะกรุงศรีอยุธยามีทำเลที่ตั้งเป็นปราการแน่นหนามีนทีล้อมรอบประดุจเกาะทั้งสามสาย จึงรับสั่งให้ตีเฉพาะด้านตะวันออกเพราะคูเมืองแคบที่สุด พม่าพยายามจะทำสะพานข้ามคูเมืองโดยนำดินมาถมเป็นสะพาน พระมหาเทพนายกองรักษาด่านอย่างเต็มสามารถ โดยให้ทหารไทยใช้ปืนยิงทหารพม่าที่ขนดินถมเป็นสะพานเข้ามา ทำให้พม่าล้มตายจำนวนมากจึงถอยล่าข้ามคูกลับไป
พระเจ้าชนะสิบทิศบุเรงนองทรงพยายามโจมตีอยู่นานจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2112 ก็ยังมิอาจยึดกรุงศรีอยุธยาได้ อีกทั้งยังสูญเสียกำลังไพร่พล ช้าง ม้า พร้อมเสบียงเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงพยายามเปลี่ยนที่ตั้งค่ายอยู่หลายระยะ โดยในภายหลังทรงย้ายค่ายเข้าไปใกล้กำแพงเมืองจนทำให้สูญเสียพลอย่างมาก ระหว่างการสงครามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงประชวรและสวรรคตในเวลาต่อมา สมเด็จพระมหินทร์ขึ้นครองราชย์ใต้เศวตฉัตรและทรงบัญชาการรบแทน
พระเจ้าหงสาวดีจึงคิดอุบายจะใช้พระยาจักรีที่จับตัวได้เป็นประกันเมื่อครั้งสงครามช้างเผือกเป็นไส้ศึก จึงให้พระมหาธรรมราชาทรงเกลี้ยกล่อมพระยาจักรีให้เป็นไส้ศึกในกรุงศรีอยุธยา แล้วแกล้งปล่อยตัวออกมา รุ่งเช้าพม่าทำทีเป็นตามหาแต่ไม่พบเลยจับตัวผู้คุมมาตัดหัวเสียบไว้ริมแม่น้ำเพื่อให้ไทยหลงกล
สมเด็จพระมหินทร์ทรงดีพระทัยที่พระยาจักรีหนีมาได้จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ถืออาญาสิทธิ์บังคับบัญชาการรบแทนที่พระยาราม ครั้นพระยาจักรีได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาพระนครแล้วจึงดำเนินการสับเปลี่ยนหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ จนกระทั่งการป้องกันพระนครอ่อนแอลง เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันควรพระยาจักรีจึงให้สัญญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทุกด้าน และทำให้กองทัพพม่าเข้าสู้พระนครสำเร็จโดยใช้เวลาเพียง 1 เดือนในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2112 (เดือนเก้าไทย) พระยาจักรีจึงให้สัญญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาและเปิดประตูเมือง ทำให้ทัพพม่าเข้ายึดพระนครสำเร็จ กรุงศรีอยุธยาจึงตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า นับเป็นความวิปโยคของชนชาวไทยอย่างยิ่งที่การเสียกรุงครั้งนี้เหตุเพราะคนไทยเป็นไส้ฉนวนแห่งความพินาศ นับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของชาวสยามหากซึ่งแตกแยกย่อมถึงกาลแตกดับ
ในศึกครั้งนี้พระเจ้าบุเรงนอง จึงได้สร้างพระเจดีย์ใหญ่แบบมอญขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ที่วัดนี้ และให้เรียก พระเจดีย์นั้นว่าภูเขาทอง เป็นเหตุให้ชาวบ้านพากันเรียกวัดนั้นวัดภูเขาทอง ต่อมาพระเจดีย์ภูเขาทองนี้หักพังลง ครั้นถึงแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมบรมโกศเมื่อพุทธศักราช 2287 จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์ใหม่ เปลี่ยนรูปพระเจดีย์แบบมอญเป็นรูปพระเจดีย์ไทย เพราะฉะนั้น ในเวลานี้จึงปรากฏว่าฝีมือช่างของมอญที่สร้างไว้แต่แต่เดิมยังคงเหลืออยู่แต่เพียงฐานทักษิณ เท่านั้น ส่วนบนขึ้นไปเป็นพระเจดีย์แบบไทยทำเป็นรูปย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง มีฐานทักษิณ 4 ชั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทั้ง 4 ด้านมีบันไดขึ้นไปจนถึงฐานทักษิณชั้นบนสุด บนชั้นนี้มีฐานสี่เหลี่ยมขององค์เจดีย์ที่มีอุโมงค์รูปโค้งเข้าไปข้างใน ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ 1 องค์ สูงขึ้นไปเป็นฐาน 8 เหลี่ยมที่ตั้งตระหง่านกลางทุ่งภูเขาทองมาจนถึงทุกวันนี้
ยุคสมัยของการเสียกรุง หลังการสูญเสียกรุงครั้งที่ 2 วัดนี้เป็นวัดร้างเรื่อยมา แต่พระมหาเจดีย์ก็ยังเป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาที่มีคนเดินทางมากราบไหว้สักการะเรื่อยมา
ที่สำคัญเจดีย์ภูเขาทองเป็นแหล่งกำเนิดของนิราศเรื่องเอกแห่งวงศ์วรรณคดีไทยเรื่องหนึ่ง คือ “นิราศภูเขาทอง” ของ “สุนทรภู่” กวีเอกแห่งรัตนโกสินทร์ที่เดินทางมานมัสการในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นิราศภูเขาทอง ได้รับยกย่องว่าเป็นนิราศเรื่องเยี่ยมที่สุดของท่านสุนทรภู่ ท่านแต่งเรื่องนี้ เมื่อครั้งเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คาดว่าไปในราวปี พ.ศ.๒๓๗๑ หลังจากเกิดมีเรื่องมีราวที่วัดราชบูรณะฯ ขณะนั้นท่าน มีอายุราว ๔๒ ปีนิราศเรื่องนี้ไม่ยาวนัก แต่พร้อมไปด้วยกระบวนกลอนอันไพเราะ และแง่คิดสำหรับการดำรงชีวิต อาจเป็นด้วยท่านสุนทรภู่ได้บวชมาหลายพรรษาแล้ว และได้ตระหนักถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น ซึ่งบรมครูกลอนสุนทรภู่ได้อธิบายลักษณะภูเขาทองลงบนบทกวีได้ไพเราะจับใจนัก
ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได คงคงลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
ประทักษิณจินตนาพยายาม ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์ แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้นฯ
นอกจากนี้ ณ วัดภูเขาทองแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งอยู่ริมถนนสายอยุธยา-อ่างทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา ห่างจากเกาะเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กม. บริเวณนี้เรียกว่าทุ่งภูเขาทอง ในอดีตเคยเป็นสมรภูมิรบหลายครั้งหลายคราว วีรบุรุษของไทยนับไม่ถ้วนได้เสียสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อปกป้องอธิปไตยและ ดำรงไว้ซึ่งความเป็นไท เมื่อ พ.ศ. 2129 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงกระทำศึกอย่างเหี้ยมหาญ เป็นผลให้อริราชศัตรูต้องพ่ายแพ้ไป พื้นที่นี้จึงได้รับการพัฒนาสร้างเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อเทิดพระเกียรติและเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงมหาวีรกรรมในครั้งนั้น
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญ ความเสียสละเพื่อลูกหลานในภายภาคหน้า เพื่อเป็นอนุสติเตือนใจให้รู้ว่าเราเกิดบนผืนแผ่นดินไทยที่มีบรรพบุรุษเป็นผู้แลกเลือดเนื้อทาทาบทับถมให้เกิดเป็นดินที่เป็นปึกแผ่น ให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์นานัปการ แล้วลูกหลานเล่าได้ตอบแทนคุณแผ่นดินหรือยัง
---------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้จัดทำ
นางสาวภัคฐิชา ทยานศิลป์ รหัส 52112520005
นางสาวสุพัชรี พัดลม รหัส 52112520014
นายกฤษ คล้ายแก้ว รหัส 52112520023
นายชัยภัทร บุรีรักษ์ รหัส 52112520027
นางสาวนิพา จันทร์ดารา รหัส 52112520028
นางสาวมารยาท สกุลเต็ม รหัส 52112520066